เม้าท์มอยเรื่องรักหลังแต่งกับนักเขียนสาวห้าวสายฮา “นิดนก” เจ้าของหนังสือ “two be continued โปรดติดตามตอนแต่งไป”



        ถ้าสาวๆ คนไหนที่ชอบอ่านหนังสือสไตล์พ็อกเก็ตบุ๊กต้องเคยได้ยินชื่อของสาว “นิดนก พนิตชนก ดำเนินธรรม” ณ แกงค์ Salmon Books แน่นอน ก่อนหน้านี้เธอมีหนังสือเล่มแรกของตัวเองชื่อ “Power Bride เจ้าสาวที่กลัวสวย” ที่ว่าด้วยประเด็นการจัดงานแต่งงานของเธอและสามีที่ทั้งเข้มข้นและขำกลิ้งจนต้องยกนิ้วให้มาแล้ว ล่าสุดผู้หญิงเชิงรุกคนนี้ก็มีหนังสือเล่มที่ 2 ที่ว่าด้วยเรื่องชีวิตหลังแต่งงานที่แสนแซ่บสนุกมันส์แถมยังแฝงข้อคิดดีๆ เกี่ยวกับความรักมาให้เราได้อ่านกันอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นอย่ารอช้ามารู้จักเธอและงานเขียนของเธอให้มากขึ้นดีกว่า

แนะนำตัวเองนิดดดดส์นึง
        ชื่อนิดนกนะคะ เป็นทั้งชื่อเล่นทั้งนามปากกา ย่อมาจากชื่อจริงคือ พนิตชนก ดำเนินธรรม เป็นพนักงานออฟฟิศธรรมดาๆ เนี่ยแหละ แล้วก็หาเวลาว่างไปเขียนหนังสือ เขียนมาสองเล่มแล้ว คือ Power Bride เจ้าสาวที่กลัวสวย และ Two Be Continued โปรดติดตามตอนแต่งไป ทั้งหมดเป็นเรื่องเกี่ยวกับการแต่งงานและชีวิตคู่ นั่นหมายความว่า มีสามีแล้วค่ะ (ยืด /ยืดทำไม) 

จุดเริ่มต้นของการเป็นนักเขียนของนิดนก
        ไม่อยากเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนเลย (ฮ่าๆๆๆ) คิดว่ามันน่าจะเริ่มมาจากการเขียนไปเรื่อยของเราเนี่ยแหละ เขียนบล็อกมาตั้งแต่อยู่มัธยม ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนกันนี่แหละอ่าน ชอบเขียนไปเรื่อย ที่เลือกเรียนฟิล์มที่ธรรมศาสตร์ ก็ไม่ได้ชอบทำหนัง แต่ชอบดูและชอบเขียน เขียนบท เขียนวิจารณ์ ชอบหมด เลยได้ไปลองฝึกงานที่นิตยสารไบโอสโคป ซึ่งตอนนั้นแหละ เป็นครั้งแรกที่สิ่งที่เราเขียนได้ตีพิมพ์ลงในหนังสือ มีชื่อเราอยู่ในนั้น โคตรยิ่งใหญ่ 
        แล้วก็คงเป็นเพราะความเขียนไปเรื่อย เพื่อน (เบ๊น เจซี) เลยแนะนำให้ลองไปคุยกับ บก.แบงก์ แห่งแซลมอน พี่แบงก์ก็ลองให้เสนอเข้าไปว่าอยากเขียนเรื่องอะไร จนได้ออกมาเป็นหนังสือเล่มแรกคือ Power Bride

Two be continued เรียกได้ว่าเป็นภาคต่อของ Power Bride ได้รึเปล่า
        เป็นภาคต่อในแง่ตัวละครมากกว่า แบบถ้าได้อ่าน Power Bride มาก่อน จะเข้าใจคาแรกเตอร์ของนิดนกและเอกชัยมากขึ้น อ่านแล้วได้อรรถรสมากขึ้น แต่ถ้าในแง่เนื้อหามันไม่ต่อกันนะ 

ความแตกต่างระหว่าง Power Bride กับ Two be continued
        Power Bride มันมีความเป็นไดอารี่หน่อยๆ คือมันพูดถึงเหตุการณ์นึง (คือการแต่งงาน) แบบที่มีจุดเริ่มต้นและมีจุดจบ เป็นไทม์ไลน์ไล่เรียงไป ว่าตั้งแต่เราโดนขอแต่งงาน จนเตรียมงาน จนถึงวันงาน จนจบงาน มันมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างทางบ้าง มันก็คล้ายๆ บันทึกการเดินทางท่องเที่ยวแหละ แค่เราไม่ได้นั่งเครื่องบินไปไหน วิ่งจัดงานแต่งรากเลือดอยู่ในเมืองหลวงนี้เอง 
        แต่กับ Two be continued มันจะเป็นการตั้งข้อสังเกตที่มองเห็นจากความสัมพันธ์ เป็นบันทึกเหมือนกัน แต่มันไม่ใช่เหตุการณ์ที่ป๊อปอัพขึ้นมาแล้ว มันคือชีวิตประจำวัน ที่เราต้องสังเกตมันและบันทึกไว้ 

แล้วระหว่าง 2 เล่มนี้ เล่มไหนเขียนยากหรือง่ายกว่ากัน
        ยากหมดแหละ 555 แต่ถ้าต้องเลือก คิดว่า Two be continued ยากกว่าอยู่หนึ่งคืบ คือ Power Bride มันเป็นบันทึกการเดินทางอ่ะ เราเห็นอะไร เจออะไร รู้สึกยังไง เราก็แค่เขียนมันออกมาให้หมดแบบไม่ยั้ง แทบไม่ได้คัดอะไรออกไปเลย เจออะไรก็เอามาเรียบเรียงใส่เข้าไป เพราะเราก็อยากเก็บความทรงจำในช่วงเวลานั้นเอาไว้ให้เยอะ ให้เห็นภาพชัดที่สุด 
        แต่กับ Two be continued มันต้องเลือกและจัดหมวดหมู่เรื่องราวให้ดี ต้องอาศัยการเรียบเรียงมากขึ้น ซึ่งก็ทำไม่ค่อยเก่งไง เลยเกร็งเวลาเขียน บางเรื่องเรารู้สึกมากเราก็เขียนเยอะเชียว แต่บางเรื่องเราก็เขียนไม่ออก ติดไปหลายอาทิตย์ก็มี 

ที่เลือกเจาะจงว่า Two be Continued เหมาะสำหรับคู่สามีภรรยาภรรยา Gen Y เพราะเป็นรุ่นของนิดนกพอดีใช่มั้ย? 
        ใช่แหละ ด้วยเพราะคู่เราก็เป็นคนรุ่นเดียวกัน เป็นเหมือนเพื่อนกัน หลักๆ ที่เขียนก็เลยอยากให้เพื่อนรุ่นเดียวกันอ่าน เพราะคิดว่าคงเจอประสบการณ์คล้ายกัน รู้สึกนึกคิดคล้ายๆ กันอยู่บ้าง และในอีกทางก็อยากให้คนรุ่นอื่น โดยเฉพาะรุ่นพ่อแม่ได้อ่านด้วยนะ อยากให้ท่านเข้าใจชีวิตคู่แบบคนรุ่นเรา คือเรามองภาพว่าพ่อแม่เราคงกำลังเป็นห่วงลูกสาวลูกชายที่แต่งงานออกไปน่ะ ว่าพวกเอ็งเป็นไงกันบ้าง อยู่กันได้มั้ย บ้านช่องแม่กวาดให้มาทั้งชีวิต แยกไปอยู่กันเองจะกวาดกันยังไง อะไรอย่างเงี้ย เราอยากให้คนต่างรุ่นเข้าใจวิถีชีวิตและความนึกคิดของกัน 

แล้วคิดว่าความพิเศษของคู่รัก Gen Y นี่แตกต่างจากรุ่นอื่นๆ อย่างไร
        คือมันคงไม่ได้ต่างแบบโจ่งแจ้งแหละนะ แค่รายละเอียดข้างในอาจจะไม่เหมือนกัน ความเชื่อความคิดต่างกันนิดๆ หน่อยๆ อย่างเรารู้สึกว่า ความสัมพันธ์ของคนรุ่นเรามันตั้งอยู่บนความเท่ากันน่ะ แบบเดินไปพร้อมกัน เราไม่ได้มีเรื่องช้างเท้าหน้าเท้าหลังอะไรแล้ว สมัยนี้ทั้งผู้หญิงผู้ชายก็ทำงานหาเงิน มีศักยภาพในตัวเองแทบไม่ต่างกัน ดังนั้นความสำเร็จในชีวิตคู่ของเรามันเลยขนานไปกับความสำเร็จในตัวของตัวเองด้วย เรารักเธอ เรามีโลกของเราสองคนนะ และเราก็มีโลกของเราด้วยเหมือนกัน หรืออย่างเรื่องค่านิยม วัฒนธรรม ประเพณีทั้งหลาย เราว่าคนรุ่นเราก็ยังถือไว้บ้างนะ แต่ไม่ได้อิน จะทิ้งไปเลยก็กลัวพ่อแม่ไม่สบายใจ ดูอย่างงานแต่งสมัยนี้ ที่เริ่มดัดแปลงพิธีการดั้งเดิม แล้วเติมความเป็นตัวของตัวเองลงไปมากขึ้น 

บทไหนใน Two be continued ที่คิดว่าเรื่องนี้สำคัญจริงๆ นะ อยากให้คนได้อ่าน มันมีประโยชน์นะ
        ไม่ได้คิดว่ามันมีประโยชน์อะไรนะ แต่เราชอบบทเรื่องการทะเลาะ และการหึง คือเราเขียนมาจากความสงสัยและอยากหาพวก ก็ไปถามคนโน้นคนนี้หาข้อมูลนะ จนเมื่อเขียนเสร็จเราก็พบว่า เฮ้ย ทุกคนทุกคู่มันต้องมีทะเลาะมีหึงกันบ้างแหละ มันไม่ใช่ว่าคู่คุณทะเลาะกันเยอะ แล้วแปลว่าความสัมพันธ์ไม่ดี หรือคุณเป็นคนขี้หึง มันแปลกมันแย่มากใช่มั้ย ซึ่งมันไม่ใช่ ทุกความสัมพันธ์มันต้องทะเลาะ มันต้องหึง แต่อยู่ที่ว่าคุณรู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น แล้วจัดการมันยังไง เก็บบทเรียนจากความรู้สึกที่เกิดนั้นได้มั้ย ยังทะเลาะกันย่ำซ้ำอยู่แต่เรื่องเดิมรึเปล่า ถ้าเราเปลี่ยนเรื่องทะเลาะกันไปเรื่อยๆ เราว่ามันไม่ได้แย่นะ เราแค่กำลังเจอด้านใหม่ที่ไม่คุ้น เจอแล้วก็จัดการกับมันสิ แล้วก็รอทะเลาะกันเรื่องอื่นต่อ ความสัมพันธ์มันโตขึ้นตามไปด้วยนะ

แล้วบทไหนล่ะที่ชอบที่สุด เพราะอะไร
        จริงๆ ก็ชอบหมดนะ แต่ถ้าเขียนคล่องมือสุดน่าจะเป็นบทเรื่องลูก เป็นบทท้ายๆ ในเล่ม ทั้งที่ก็ยังไม่มีลูกนะ แต่ไม่รู้ทำไมอินมาก 

คุณสามี (คุณอั๋น) ได้เข้ามามีส่วนร่วมกับการเขียนหนังสือทั้งสองเล่มของเรามากน้อยแค่ไหน

        เล่มที่แล้วเอกชัยมาเขียนคำตามให้ คือเขียนเรื่องการแต่งงานในมุมของเขาบ้าง เหมือนเล่าจากอีก point of view นึง (ซึ่งมีความสุภาพและจริงจังกว่า) ส่วนเล่ม Two be เอกชัยเป็นเหมือนคอมเมนเตเตอร์ คงคันมือมั้งเขียนแม่งทุกบทเลย บางบทเป็นคอมเมนต์ บางบทเป็นการเล่าเรื่องเสริม ตลกก็มี ที่ซึ้งก็มีนะ ตอนเราอ่านครั้งแรกน้ำตาคลอเลย (ไปหาเองว่าบทไหน อิอิ) 

ชีวิตก่อนแต่งกับหลังแต่งแตกต่างกันมากมั้ย (แบบภาพรวม)
        ต่างนิดหน่อย ตรงที่เราคิดอะไรแบบมวลรวมมากขึ้น 555 ใช้ศัพท์ยากทำไม แบบยังไงดี แต่ก่อนเราก็คิดถึงแต่ตัวเอง คือเราเป็นแฟนกันก็จริง แต่ชีวิตเราก็คือชีวิตเราอ่ะ จะไปเที่ยวคนเดียวก็เรื่องของเรา เงินก็เงินของเรา ครอบครัวก็ครอบครัวเรา แต่พอแต่งงานไปแล้วมันกลายเป็นของ “เรา” ในอีกความหมายนึง เราคิดถึงอีกคนนึงมากขึ้น เออ ชีวิตคู่มันคือการแชร์จริงๆ แชร์ทุกอย่าง นี่ว่าจะเปิดโต๊ะแชร์แล้ว (คนละแชร์!) 

แล้วตัวตนของเรากับของเขาล่ะ เปลี่ยนไปมั้ย (หมายถึงนิสัยใจคอ)
ตัวตนคงไม่ได้เปลี่ยนอะไร เพราะมันเป็นแกนอยู่ข้างในตัวเราอ่ะ แต่กับด้านที่เราต้องหันออกไปปะทะกับคนอื่น เราว่าเปลี่ยนนะ เป็นการเปลี่ยนแบบค่อยเป็นค่อยไป เราอดทนกับบางเรื่องมากขึ้น แต่ก็เปราะบางกับบางเรื่องเพิ่มขึ้นเหมือนกัน 

วิธีเติมความหวานให้กับชีวิตคู่ตามสไตล์นิดนก
        ตอบยากมาก เข้าใจอารมณ์พวกคู่รักดาราที่ต้องตอบคำถามนี้ละ 5555 ทำยังไงอ่ะ ส่วนใหญ่ก็หาเรื่องตลกคุยกันมั้ง หรือไม่ก็ไปเที่ยวด้วยกัน ได้เติมทั้งหวาน ขม เค็ม มัน เติมทุกรสชาติเลย 

คาถาหรือเทคนิคเวลาไกล่เกลี่ยกันเมื่อเกิดการทะเลาะกันขึ้น
        ถ้าผิดยอมรับว่าผิด ถ้าไม่ผิดก็ให้อภัย แค่นั้นแหละ ซื่อสัตย์กับตัวเองและอีกคน 

อยากจะบอกอะไรกับหนุ่มสาวไทยยุคนี้ที่กำลังจะแต่งงาน
        อย่าเชิญประธานที่เราไม่รู้จัก และอย่าเล่นมุกแกล้งโยนดอกไม้สามทีแต่ไม่โยน 

มีแพลนจะมีผลงานเล่มต่อไปมั้ย ถ้ามี จะเขียนเกี่ยวกับอะไร 
        อยากเขียน แต่ยังไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไรดี ใครอยากให้เขียนเรื่องไหนส่งเข้ามาได้ที่ ตู้ ปณ.17 แขวงบางแวก 



         เราได้อ่านทั้งสองเล่มนี้จากนิดนกแล้ว ขอบอกเลยว่าไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานะไหนมีคู่หรือไม่คู่ แต่งแล้วหรือยังไม่แต่ง ก็เหมาะสมทั้งปวงที่หยิบสองเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน (แบบรวดเดียวจบไม่อยากวางและอยากแต่งงานทันที! อร๊าย) และ ณ จุดนี้ใครสำหรับใครที่อยากติดตามนิดนกก็สามารถไปได้ที่เพจ www.facebook.com/nidnoknidnok หรือ instagram.com/nidnok นะคะ ขอบอกเลยว่าเธอชอบแจกสูตรเมนูอาหารเช้าเด็ดๆ ด้วยนา ใครชอบทำกับข้าวห้ามพลาด! 

Photos Credit : instagram.com/nidnok

JOIN US :

 

Cosmo Channel

 
 

Most Read